ประวัติบริษัท
บริษัทฯ จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัดตามกฎหมายไทยเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2548 ต่อมาเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2563
บริษัทฯ ได้ดำเนินการจดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ภายใต้ชื่อบริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) โดยกลุ่มบริษัทมีความประสงค์ที่จะประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง จึงได้เตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) เพื่อระดมเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ในอนาคต โดยพัฒนาการสำคัญที่ผ่านมาของบริษัทฯ มีดังนี้
บริษัท เทรเชอร์ เอ็ม จำกัด ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่า เช่น ให้เช่าพื้นที่อาคารสำนักงานขาย ให้เช่าพื้นที่ภายใน Community Mall เป็นต้น ทั้งนี้ได้เริ่มสร้าง Community mall แห่งแรกชื่อ “mingle Mall” ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าโครงการ Kave Town เพื่อให้ลูกค้าของโครงการมีแหล่งช็อปปิ้งใกล้กับที่พักอาศัยและได้รับความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอย โดยเปิดให้บริการโซนศูนย์อาหารตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 และเปิดบริการทุกโซนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 โดย Mingle มี 2 ชั้น ชั้นที่ 1 เปิดเป็นพื้นที่ให้เช่าสำหรับร้านอาหารและร้านค้า จำนวน 55 ร้าน พื้นที่ให้เช่า 2,548 ตารางเมตร ส่วนชั้นที่ 2 จัดเป็น Co-working space และร้านค้า
ต่อมาได้ขยาย Community mall เพิ่มอีกแห่งชื่อ “Mingle Market” ตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เพื่อรองรับลูกค้าในกลุ่มนักศึกษา บุคลากร เจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัย รวมถึงผู้พักอาศัยในบริเวณใกล้เคียง โดยมีพื้นที่เช่าสำหรับร้านอาหารและร้านค้า 47 ร้าน พื้นที่เช่าทั้งหมด 1,240 ตารางเมตร และเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2564
บริษัท เทรเชอร์ เอ็ม จำกัด ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่า เช่น ให้เช่าพื้นที่อาคารสำนักงานขาย ให้เช่าพื้นที่ภายใน Community Mall เป็นต้น ทั้งนี้ได้เริ่มสร้าง Community mall แห่งแรกชื่อ “mingle Mall” ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าโครงการ Kave Town เพื่อให้ลูกค้าของโครงการมีแหล่งช็อปปิ้งใกล้กับที่พักอาศัยและได้รับความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอย โดยเปิดให้บริการโซนศูนย์อาหารตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 และเปิดบริการทุกโซนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 โดย Mingle มี 2 ชั้น ชั้นที่ 1 เปิดเป็นพื้นที่ให้เช่าสำหรับร้านอาหารและร้านค้า จำนวน 55 ร้าน พื้นที่ให้เช่า 2,548 ตารางเมตร ส่วนชั้นที่ 2 จัดเป็น Co-working space และร้านค้า
ต่อมาได้ขยาย Community mall เพิ่มอีกแห่งชื่อ “Mingle Market” ตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เพื่อรองรับลูกค้าในกลุ่มนักศึกษา บุคลากร เจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัย รวมถึงผู้พักอาศัยในบริเวณใกล้เคียง โดยมีพื้นที่เช่าสำหรับร้านอาหารและร้านค้า 47 ร้าน พื้นที่เช่าทั้งหมด 1,240 ตารางเมตร และเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2564
บริษัท เทรเชอร์ เอ็ม จำกัด ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่า เช่น ให้เช่าพื้นที่อาคารสำนักงานขาย ให้เช่าพื้นที่ภายใน Community Mall เป็นต้น ทั้งนี้ได้เริ่มสร้าง Community mall แห่งแรกชื่อ “mingle Mall” ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าโครงการ Kave Town เพื่อให้ลูกค้าของโครงการมีแหล่งช็อปปิ้งใกล้กับที่พักอาศัยและได้รับความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอย โดยเปิดให้บริการโซนศูนย์อาหารตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 และเปิดบริการทุกโซนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 โดย Mingle มี 2 ชั้น ชั้นที่ 1 เปิดเป็นพื้นที่ให้เช่าสำหรับร้านอาหารและร้านค้า จำนวน 55 ร้าน พื้นที่ให้เช่า 2,548 ตารางเมตร ส่วนชั้นที่ 2 จัดเป็น Co-working space และร้านค้า
ต่อมาได้ขยาย Community mall เพิ่มอีกแห่งชื่อ “Mingle Market” ตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เพื่อรองรับลูกค้าในกลุ่มนักศึกษา บุคลากร เจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัย รวมถึงผู้พักอาศัยในบริเวณใกล้เคียง โดยมีพื้นที่เช่าสำหรับร้านอาหารและร้านค้า 47 ร้าน พื้นที่เช่าทั้งหมด 1,240 ตารางเมตร และเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2564
บริษัทฯ จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัดตามกฎหมายไทยเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2563
ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 บริษัทฯ ได้ดำเนินการจดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ภายใต้ชื่อ บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)โดยมีความประสงค์เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย รวมทั้งดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ และซื้อบ้านมือสองนำมาปรับปรุงเพื่อขาย โดยมุ่งหวังการรับรู้ในการสร้างโอกาสการเติบโตของธุรกิจซื้อขายบ้านมือสองในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง จึงได้เตรียมความพร้อมในการเข้า จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) เพื่อระดมเงินทุนสำหรับการพัฒนาธุรกิจในอนาคต โดยมีพัฒนาการสำคัญที่ผ่านมาของบริษัทฯ ดังนี้
1 พฤศจิกายน
บริษัทฯ จดทะเบียนแปรสภาพนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 และจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัทในเรื่องชื่อบริษัท วัตถุประสงค์ การเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ และทุนจดทะเบียนใหม่ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
20 ตุลาคม
ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 มีมติอนุมัติ
(1.) การแปรสภาพของบริษัทจากบริษัทจำกัดเป็นบริษัทมหาชนจำกัด โดยใช้ชื่อว่า “บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)”
(2.) การเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ของหุ้นบริษัทฯจากเดิมมูลค่าหุ้นละ 100 บาท เป็นมูลค่าหุ้นละ 0.50 บาท ซึ่งเมื่อเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นบริษัทฯแล้ว ทำให้บริษัทฯมีหุ้นสามัญจากเดิมจำนวน 750,000 หุ้น
___คณะกรรมการตรวจสอบคณะกรรมการตรวจสอบ</font>เป็นจำนวน 150,000,000 หุ้น
(3.) การเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯจำนวน 30 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 75 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 105 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 60,000,000 หุ้นมูลค่าที่ตราไว้
___หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ และเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (Initial Public Offering : IPO) โดยการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน
___ไม่เกิน 60,000,000 หุ้น (จากจำนวน 210,000,000 หุ้น) มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไปครั้งแรก ซึ่งรวมถึงกรรมการ ผู้บริหาร พนักงานของบริษัทบุคคลที่มีความสัมพันธ์
___ผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ โดยเป็นการเสนอขายในราคาเดียวกัน ที่ราคาเสนอขายเดียวกัน
(4.) การนำหุ้นสามัญของบริษัทฯเข้าจดทะเบียน เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ
21-22 มิถุนายน
บริษัทฯ เข้าทำสัญญาว่าจ้างบริการส่งเสริมการขาย (พร้อมปรับปรุงทรัพย์สิน) กับบริษัท บริหารสินทรัพย์ เอส ดับบลิว พี จำกัด ในการปรับปรุงซ่อมแซมและส่งเสริมการขายบ้านมือสอง จำนวน 5 หลัง
20 มีนาคม
บริษัทฯ เพิ่มทุนจดทะเบียนอีกจำนวน 35 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 40 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 75 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 350,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท เสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้นในราคาหุ้นละ 100 บาท เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัทฯ
15 มีนาคม
บริษัทฯ จ่ายเงินปันผลประจำปี 2565 จากผลการดำเนินงานสะสมตั้งแต่เริ่มดำเนินกิจการจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ในอัตราหุ้นละ 139 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทรวมเป็นเงินจำนวน 55.60 ล้านบาท และอนุมัติการจัดสรรเงินกำไรสุทธิเพื่อเป็นทุนสำรองตามกฎหมาย จำนวน 2.80 ล้านบาท
15 และ 26 พฤษภาคม
บริษัทฯ เข้าทำบันทึกข้อตกลงการวางเงินประกันการซื้อทรัพย์กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 8 หลัง
3 มกราคม
บริษัทฯ เข้าทำสัญญาว่าจ้างบริการส่งเสริมการขาย (พร้อมปรับปรุงทรัพย์สิน) กับบริษัท บริหารสินทรัพย์ เอส ดับบลิว พี จำกัด ในการปรับปรุงซ่อมแซมและส่งเสริมการขายบ้านมือสองจำนวน 10 หลัง
12 พฤศจิกายน
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 6/2565 อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลประกอบการงวดเก้าเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 ในอัตราหุ้นละ 50 บาท รวมมูลค่า 20 ล้านบาท และจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมายเป็นจำนวนเงิน 1.07 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้จ่ายเงินปันผลดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565
1 มิถุนายน
บริษัทฯ เข้าทำสัญญาว่าจ้างส่งเสริมการขาย พร้อมปรับปรุงซ่อมแซมทรัพย์สิน กับ บริษัท บริหารสินทรัพย์ เอส ดับบลิว พี จำกัด และ บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จำกัด ในการปรับปรุงซ่อมแซมและส่งเสริมการขายบ้านมือสอง รวม 9 หลัง และ 4 หลัง ตามลำดับ
3 ธันวาคม
บริษัทฯ ทำสัญญาว่าจ้างบริการส่งเสริมการขายพร้อมปรับปรุงซ่อมแซมทรัพย์สินกับธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในการปรับปรุงซ่อมแซมและส่งเสริมการขายบ้านมือสอง
15 กันยายน
บริษัทฯ ทำบันทึกข้อตกลงการวางเงินประกันการซื้อทรัพย์กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อซื้อบ้านมือสองจำนวน 10 หลัง มูลค่ารวม 48.82 ล้านบาท เพื่อให้บริการปรับปรุงซ่อมแซมและเป็นตัวแทนขาย
มกราคม และกรกฎาคม
บริษัทฯ ซื้อทรัพย์สินที่ใช้ดำเนินงานของบริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ประกอบด้วย (1) โปรแกรมคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการ (operating system) หรือ OS ซึ่งเป็นระบบจัดการพื้นฐานเกี่ยวทรัพย์ฯ
มือสองที่ซื้อขาย เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานของบริษัท (2) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สำนักงาน เครื่องใช้สำนักงาน ซึ่งเป็นของเก่าที่ผ่านการใช้งานมาแล้วจากบางกอก แต่ยังคงมีสภาพดีและสามารถนำมาใช้งานต่อได้
23 มิถุนายน
บริษัทฯ เพิ่มทุนจดทะเบียนอีกจำนวน 35 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 5 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 40 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 350,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท
เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้นในราคาหุ้นละ 100 บาท เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัทฯ
30 เมษายน
จัดตั้งบริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 5 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 50,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท